วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558





รายงานการศึกษาค้นคว้า
เรื่อง  การบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา
ของ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6
     นาย.กิตติศักดิ์  แดงกันหาเลขที่2
นาย.ยุทธชัยเจริญสุข เลขที่ 4
  นาย.สิทธิพงษ์   บ้งพรม เลขที่6
นาย.กรกต ลาดโพธิ์ เลขที่ 11
 นาย.ไพศาล สหะนาม เลขที่15

ที่ปรึกษา
คุณครูนารีรัตน์  แก้วประชุม
วันที่ 5 เดือน กันยายน พ.. 2557

เสนอ
โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร
อำเภอโพธ์ไทร   จังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้  ตามหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศีกษา2557
คำนำ

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา  จะศีกษาเกี่ยวกับเรี่องการบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวาซึ่งคณะจัดทำขึ้นเพื่อให้นักเรียน  และผู้สนใจได้อ่านเป็นเอกสารเพิ่มเติม  ต่อไป
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า  รายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจเกี่ยวกับ การบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา  ซึ่งทำให้ทราบถึง เนื้อหาหลักๆขอสรรพคุณและประโยชน์ของขมิ้น และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  ที่ได้วิเคราะห์ให้ผู้อ่านนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป  หามีข้อบกพร่องประการใด  ผู้จัดทำขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

                                                                                                                          คณะผู้จัดทำ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6
                                                                                                                            5 กันยายน 2557










กิตติกรรมประกาศ

            รายงานฉบับนี้จะสำเร็จและสมบูรณ์เป็นรูปเล่ม ด้วยความกรุณาเอาใจใส่เป็นอย่างดีจาก
 คุณ ครูนารีรัตน์  แก้วประชุม เป็นอย่างยิ่ง เป็นคุณครูประจำวิชาที่คอยให้คำปรึกษาละแนะแนวทางการดำเนินกรทำรายงานใน ครั้งนี้โดยไม่มีข้อบกพร่อง  รวมทั้งข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นต่างๆ  ตลอดทั้งการตรวจและแก้ไขรายงานฉบับนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทางคณะผู้จัดทำจึงขอ ขอพระคุณ ไว้ ณ  โอกาสนี้
           ขอขอบพระคุณคุณครูทุกท่าน ที่ได้ประสิทธิ์ประสารทวิชา ความรู้ และประสบการณ์ตลอดจนอำนวยความสำเร็จให้บังเกิด
          สุดท้ายนี้ คุณพ่อ และคุณแม่ ที่เป็นกำลังใจ และให้ความช่วยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมูลและให้คำแนะนำในการทำรายงานครั้งนี้จนสำเร็จ ลุล่วงด้วยดีตลอดมา
                                                                                                                       
                                                                                                                          คณะผู้จัดทำ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6
                                                                                                                            5 กันยายน 2557








ชื่อเรื่อง            การบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา
ผู้ศึกษา  นาย.กิตติศักดิ์  แดงกันหาเลขที่2
        นาย.ยุทธชัยเจริญสุข เลขที่ 4
          นาย.สิทธิพงษ์   บ้งพรม เลขที่6
        นาย.กรกต ลาดโพธิ์ เลขที่ 11
         นาย.ไพศาล สหะนาม เลขที่15

        

ครูที่ปรึกษา      คุณครูนารีรัตน์  แก้วประชุม
ชื่อวิชา
ชื่อโรงเรียน      โรงเรียนโพธ์ไทรพิทยาคาร    ปีการศีกษา    2557

บทคัดย่อ
   การศึกษาค้นคว้า เรื่อง การบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปของการบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา  2) เพื่อศึกษาประโยชน์ของผักตบชวาและสรรพคุณของผักตบชวา 3) เพื่อศึกษาผลการวิจัยเกี่ยวกับผักตบชวา  โดยศึกษาจากhttp://www.ex-mba.buu.ac.th/research/Nonthaburi/PM6/51723687/05_ch5.pdf  จำนวน1เว็บไซต์

            ผลการศึกษาค้นคว้า ปรากฎว่า
     1. ข้อมูลทั่วไปของผักตบชวามีดังนี้
         1.1 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
                      1.2 การขยายพันธุ์
                       1.3 ส่วนที่ใช้
                  2. ประโยชน์ของผักตบชวา มีดังนี้
1.               ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกอ่อน สามารถนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกรับประทานหรือนำมาทำแกงส้ม ในไต้หวันจะนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารจำพวกผักโดยคุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทานได้ของผักตบชวา ต่อ 100 กรัมจะประกอบไปด้วย พลังงาน 30 แคลอรี่, น้ำ 89.8%, โปรตีน 0.5 กรัม, ไขมัน 0.1 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 7.5 กรัม, ใยอาหาร 2.4 กรัม[1],[3]
2.               ผักตบชวาสามารถนำมาเลี้ยงสุกร เลี้ยงไก่ได้ เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารโดยพบว่าผักตบชวาแห้งจะมีโปรตีนประมาณ 14-20% ไขมัน 1-2.5% เส้นใย 17-19% ซึ่งโดยปกติแล้วสัตว์หลายชนิดก็กินผักตบชวาอยู่แล้ว กล่าวคือ วัว ควาย แกะแพะ มักจะกินผักตบชวาที่ขึ้นอยู่ตามริมฝั่ง หรือบางชนิดก็กินผักตบชวาในน้ำส่วนหมูก็กินผักตบชวาที่ผู้เลี้ยงนำมาต้มให้กินโดยสัตว์เหล่านี้ก็จะช่วยกำจัดผักตบชวาให้ลดน้อยลงได้บ้างและเรายังได้ประโยชน์จาก
3.               สัตว์เลี้ยงเหล่านี้อีกด้วย และนอกจากนี้ยังมีการนำผักตบชวาไปแปรรูปใช้เป็นส่วนประกอบของสูตรอาหารสุกรและสัตว์ปีกอีกด้วย[1],[2],[6]แต่มีข้อควรระวังในการเลือกใช้คือให้เลือกผักตบชวาจากแหล่งน้ำที่ปลอดสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลงหรือโลหะหนักเท่านั้น เพราะสารเหล่านี้จะถูกผักตบชวาดูดซับเอาไว้ และเมื่อนำไปให้สัตว์กินก็จะทำให้สัตว์ได้รับสารพิษเหล่านี้ไปด้วย[2]
4.               มีการนำผักตบชวาแห้งทั้งต้นมาใช้ทำเป็นแอลกอฮอล์และ gas แต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจมากนัก[1]
5.               ผักตบชวาสามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยหมัก สำหรับการปลูกพืชผักต่างๆเนื่องจากผักตบชวามีโพแทสเซียมอยู่มากเป็นพิเศษส่วนฟอสฟอรัสและไนโตรเจนก็มีอยู่พอสมควรหรือนำมาใช้คลุมต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ให้เกิดความชุ่มชื้นเนื่องจากผักชนิดนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี[2],[6]
6.               ผักตบชวาที่ตากแดดจนแห้งดีแล้ว สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางเพื่อสร้างรายได้ได้เป็นอย่างดี[6]
7.               ใช้ทำเป็นกระถางชนิดพิเศษที่เป็นปุ๋ยในตัวเองโดยต้นกล้าที่จะนำมาเพาะชำในกระถางนี้ เราสามารถขุดหลุมปลูกได้เลยเพราะกระถางจะย่อยสลายไปได้เองและยังเป็นปุ๋ยให้กับพืชที่ปลูกอีกด้วย[2]
8.               นำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงแท่งโดยการนำมาผสมกับแกลบอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิงได้โดยไม่มีปัญหาในการอัด ค่าพลังงานความร้อนที่ได้ก็ใกล้เคียงกับแกลบอัด[2]
9.               ผักตบชวาสามารถขึ้นได้ในทุกสภาพน้ำและสามารถช่วยบำบัดน้ำเสียได้โดยตรงโดยทำหน้าที่เป็นตัวกรอง ทำให้ของแข็งหรือสารแขวนลอยต่างๆที่ปนอยู่ในน้ำถูกสกัดกั้นเอาไว้นอกจากนั้นระบบรากของผักผักตบชวาที่มีจำนวนมากยังช่วยกรองสารอินทรีย์ที่ละเอียดและจุลินทรีย์ที่อาศัยเกาะอยู่ที่รากจึงช่วยดูดสารเหล่านี้ไว้ด้วยอีกทางหนึ่งแต่ถ้าน้ำเสียนั้นมีสารพิษในปริมาณมากหรือน้ำเสียมากการใช้ผักตบชวาเพื่อบำบัดน้ำเสียจะให้ผลช้าและอาจทำให้น้ำเน่าได้จึงควรใช้ผักตบชวาร่วมกับการบำบัดน้ำเสียระบบอื่นไปด้วย จึงจะได้ผลดี[5]
10.         ผักตบชวาสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์จักสานหรือสินค้าอื่นๆผลิตภัณฑ์จากผักตบชวาก็เช่นกล่อง กล่องใส่กระดาษทิชชู ตะกร้าผักตบชวากระเป๋าผักตบชวา เก้าอี้ผักตบชวา เปลญวน รองเท้าแตะหรือรองเท้าผักตบชวาถาดรองผลไม้ ถาดรองแก้วน้ำ แจกันสาน เสื่อผักตบชวา กระดาษจากผักตบชวา ฯลฯ[2],[6]
11.         นอกจากนี้ผักตบชวายังมีประโยชน์ที่ช่วยทำให้น้ำสะอาดขึ้นช่วยสะสมพลังงานจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศบริสุทธิ์และเย็นสบายช่วยลดปัญหาที่เกิดจากวัชพืชใต้น้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำช่วยทำให้เกิดทัศนียภาพที่เจริญตา (สำหรับบางคน) ฯลฯ[6]

3สรรพคุณของผักตบชวา

    ต้นมีรสจืด มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษในร่างกาย (ต้น)[4]
    ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[5]
    ต้นมีสรรพคุณเป็นยาขับลม (ต้น)[4]
    ต้นใช้ตำพอกแก้แผลอักเสบ (ต้น)[4]




บทที่ 1
บทนำ

ที่มาและความสำคัญของปัญหา
    ต้นผักตบชวา จัดเป็นพรรณไม้น้ำที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ได้มีการนำเข้ามาปลูกครั้งแรกไว้ที่วังสระปทุมในกรุงเทพมหานครเมื่อปี พ.ศ.2444 แต่จากการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วและเกิดน้ำท่วมจึงทำให้ผักตบชวาหลุดรอดออกมา และเกิดการแพร่กระจายไปทั่ว จนกลายเป็นวัชพืชน้ำที่รุนแรง โดยผักตบชวานั้นจัดเป็นพืชน้ำล้มลุกมีอายุหลายฤดู มีลำต้นสั้นแตกใบเป็นกอลอยไปตามน้ำ มีไหล ซึ่งเกิดตามซอกใบแล้วเจริญเป็นต้นอ่อนที่ปลายไหล ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ ผิวลำต้นเรียบเป็นสีเขียวอ่อนและเข้ม ลำต้นจะมีขนาดสั้นหรือยาวจะขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำ ก้านใบจะพองออกตรงช่องกลาง ภายในมีลักษณะเป็นรูพรุน จึงช่วยพยุงลำต้นให้ลอยน้ำได้ ลำต้นสั้น มีความสูงได้ประมาณ 3-90 เซนติเมตร รากจะแตกออจากลำต้นบริเวณข้อ รากมักมีสีม่วงดำ ซึ่งลำต้นลอยอยู่บนผิวน้ำบางต้นอาจจะขึ้นอยู่ตามโคลนในที่น้ำตื้น สามารถขึ้นบนบกก็ได้ มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี แต่จะไม่ทนน้ำเค็ม ผักตบชวาเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว โดยการแยกกอหรือใช้ไหล พบได้ทั่วไปตามริมน้ำ[1],[2]

วัตถุประสงค์ของปัญหา
            เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปของผักตบชวา
            เพื่อศึกษาประโยชน์ของผักตบชวาและสรรพคุณของผักตบชวา
            เพื่อศึกษาสารสกัดจากผักตบชวา
            เพื่อศึกษาผลการวิจัยเกี่ยวกับผักตบชวา
           


สมมุติฐาน
                       พืชน้ำบางชนิดที่มีอยู่มากมายในชุมชนและมีคุณสมบัติช่วยลดปริมาณของเสียในน้ำได้ จึงน่าจะช่วยบำบัดน้ำเสียในชุมชนได้
ขอบเขตของปัญหา
            เนื้อหา
                -ข้อมูลทั่วไปของผักตบชวา
                -ประโยชน์ของผักตบชวาและสรรพคุณของผักตบชวา
                -สารสกัดจากผักตบชวา
                -ผลการวิจัยเกี่ยวกับผักตบชวา

ระยะเวลา
                ภาคเรียนที่1ปีการศึกษา2557

ตัวแปรในการศึกษาค้นคว้า
                -ตัวแปรต้น    คือ   การปลูกผักตบชวา
               -ตัวแปรตาม   คือ   การบําบัดน้ำเสียของผักตบชวา




นิยามศัพท์เฉพาะ
ผักตบชวา (อังกฤษ: Water Hyacinth) เป็นพืชน้ำล้มลุกอายุหลายฤดู สามารถอยู่ได้ทุกสภาพน้ำ มีถิ่นกำเนิดในแถบลุ่มน้ำอะเมซอน ประเทศบราซิล ในทวีปอเมริกาใต้ มีดอก สีม่วงอ่อน คล้ายช่อดอกกล้วยไม้ และแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นวัชพืชที่ร้ายแรงในแหล่งน้ำทั่วไป มีชื่อเรียกในแต่ละท้องถิ่นดังนี้: ผักปอด, สวะ, ผักโรค, ผักตบชวา, ผักยะวา, ผักอีโยก, ผักป่อง           

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ
1.ทราบถึงลักษณะของผักตบชวา
2.ทราบถึงประโยชน์ของผักตบชวา






บทที่2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง

เอกสารที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา
มีหัวข้อและรายละเอียด ดังนี้
             1.ข้อมูลทั่วไปของผักตบชวา
            2.ประโยชน์ของผักตบชวาและสรรพคุณของผักตบชวา
            3.สารสกัดจากผักตบชวา
            4.ผลการวิจัยเกี่ยวกับผักตบชวา












1.ข้อมูลทั่วไปนของผักตบชวา
    ต้นผักตบชวา จัดเป็นพรรณไม้น้ำที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ได้มีการนำเข้ามาปลูกครั้งแรกไว้ที่วังสระปทุมในกรุงเทพมหานครเมื่อปี พ.ศ.2444 แต่จากการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วและเกิดน้ำท่วมจึงทำให้ผักตบชวาหลุดรอดออกมา และเกิดการแพร่กระจายไปทั่ว จนกลายเป็นวัชพืชน้ำที่รุนแรง โดยผักตบชวานั้นจัดเป็นพืชน้ำล้มลุกมีอายุหลายฤดู มีลำต้นสั้นแตกใบเป็นกอลอยไปตามน้ำ มีไหล ซึ่งเกิดตามซอกใบแล้วเจริญเป็นต้นอ่อนที่ปลายไหล ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ ผิวลำต้นเรียบเป็นสีเขียวอ่อนและเข้ม ลำต้นจะมีขนาดสั้นหรือยาวจะขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำ ก้านใบจะพองออกตรงช่องกลาง ภายในมีลักษณะเป็นรูพรุน จึงช่วยพยุงลำต้นให้ลอยน้ำได้ ลำต้นสั้น มีความสูงได้ประมาณ 3-90 เซนติเมตร รากจะแตกออจากลำต้นบริเวณข้อ รากมักมีสีม่วงดำ ซึ่งลำต้นลอยอยู่บนผิวน้ำบางต้นอาจจะขึ้นอยู่ตามโคลนในที่น้ำตื้น สามารถขึ้นบนบกก็ได้ มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี แต่จะไม่ทนน้ำเค็ม ผักตบชวาเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว โดยการแยกกอหรือใช้ไหล พบได้ทั่วไปตามริมน้ำ[1],[2]
          ชื่อวิทยาศาสตร์ Eichorniacrassipes (Mart.) Solms
          ชื่อวงศ์              Pontederiaceae
          ชื่ออังกฤษ         Turmeric
          ชื่อท้องถิ่น         บัวลอย  ผักปง  ผักตบ ผักปอด  ผักป่อง  สวะ  ผักยะวา  ผักอีโยก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ผักตบชวามีลำต้นสั้นแตกใบเป็นกอลอยไปตามน้ำ มีไหล ซึ่งเกิดตามซอกใบแล้วเจริญเป็นต้นอ่อนที่ปลายไหล ถ้าน้ำตื้นก็จะหยั่งรากลงดิน ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่หรือเกือบกลม ก้านใบกลมอวบน้ำตรงกลางพองออกภายในเป็นช่องอากาศคล้ายฟองน้ำช่วยให้ลอยน้ำได้ ดอกเกิดเป็นช่อที่ปลายยอดมีดอกย่อย 3-25 ดอก สีม่วงอ่อน มีกลีบดอก 6 กลีบ กลีบบนสุดขนาดใหญ่กว่ากลีบอื่น ๆ และมีจุดเหลืองที่กลางกลีบ ขยายพันธุ์โดยการแยกต้นอ่อนที่ปลายไหลไปปลูก
ใบ:        ทุ่นลอย (Floating leaf) พืชน้ำบางชนิด เช่นผักตบชวา สามารถลอยน้ำอยู่ได้ โดยอาศัยก้านใบอาศัยก้านใบพองโตออก ภายในมีเนื้ออยู่กันอย่างหลวมๆ และมีช่องว่างอากาศใหญ่ทำให้มีอากาศอยู่มาก จึงช่วยพยุงให้ลำต้นลอยน้ำอยู่ได้
 ดอกผักตบชวา ออกดอกเป็นช่ออยู่กลางกอ ไม่มีก้านดอก ในช่อหนึ่งจะประกอบไปด้วยดอกขนาดเล็กหลายดอก มีดอกประมาณ 3-25 ดอก ดอกย่อยเป็นสีชมพูอมฟ้าหรือสีม่วง มีกลีบดอก 6 กลีบ กลีบบนสุดจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบอื่นๆ และจะมีจุดหรือแต้มสีเหลืองที่กลางกลีบ กลีบดอกจะมีลักษณะบาง เมื่อช่อดอกเจริญขึ้น ก้านช่อดอกจะค่อยๆ ยาว พองใหญ่ขึ้น ทำให้ภายในที่หุ้มก้านช่อดอกกับก้านใบขาดออก เมื่อก้านช่อดอกเจริญมากขึ้นจะดันกาบใบก้านในขาด ก้านช่อดอกจะแทงชูช่อดอกเจริญโผล่ขึ้นมาก โดยมีใบเล็กๆ ที่ปลายก้านใบและภายในทำหน้าที่เป็นใบประดับรองรับช่อดอกอีกหนึ่ง เมื่อเจริญเต็มที่แล้วดอกมักจะบานพร้อมกันหมดทั้งช่อ โดยจะเริ่มบานตั้งแต่แสงอาทิตย์เริ่มส่อง และจะบานเต็มที่เมื่อแสงแดดส่องจ้า โดยดอกจะบานแค่เพียง 1 วัน มีความสวยเด่นสะดุดตา และดึงดูดสายตาได้ดีมาก โดยจะออกดอกช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน และเนื่องจากช่อดอกของผักตบชวามีลักษณะคล้ายคลึงกับดอกไฮยาซินธิ์ จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญว่า Water Hyacinth[1],[2]
    ผลผักตบชวา ผลเป็นแบบแคปซูลแห้งและแตกได้ ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก แบ่งเป็นพู 3 พู เมื่อแก่จะแตกกลางพู ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกลมขนาดเล็ก[2],[4]

ส่วนที่ใช้
บำบัดน้ำเสียรวมทั้งได้ผักตบชวาสำหรับทำปุ๋ยหมักหรือเชื้อเพลิงและอาหารสัตว์ตามเหมาะสม รวมทั้งเป็นการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชองประประชาชนในพื้นที่รอบบริเวณบึงมักกะสัน ให้ดีขึ้นอีกด้วย
2.สรรพคุณแลการใช้ประโยชน์
สรรพคุณ
1.               ต้นมีรสจืด มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษในร่างกาย (ต้น)[4]
2.               ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[5]
3.               ต้นมีสรรพคุณเป็นยาขับลม (ต้น)[4]
4.               ต้นใช้ตำพอกแก้แผลอักเสบ (ต้น)[4]

วิธีใช้ประโยชน์
1.               ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกอ่อน สามารถนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกรับประทานหรือนำมาทำแกงส้ม ในไต้หวันจะนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารจำพวกผักโดยคุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทานได้ของผักตบชวา ต่อ 100 กรัมจะประกอบไปด้วย พลังงาน 30 แคลอรี่, น้ำ 89.8%, โปรตีน 0.5 กรัม, ไขมัน 0.1 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 7.5 กรัม, ใยอาหาร 2.4 กรัม[1],[3]
2.               ผักตบชวาสามารถนำมาเลี้ยงสุกร เลี้ยงไก่ได้ เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารโดยพบว่าผักตบชวาแห้งจะมีโปรตีนประมาณ 14-20% ไขมัน 1-2.5% เส้นใย 17-19% ซึ่งโดยปกติแล้วสัตว์หลายชนิดก็กินผักตบชวาอยู่แล้ว กล่าวคือ วัว ควาย แกะแพะ มักจะกินผักตบชวาที่ขึ้นอยู่ตามริมฝั่ง หรือบางชนิดก็กินผักตบชวาในน้ำส่วนหมูก็กินผักตบชวาที่ผู้เลี้ยงนำมาต้มให้กินโดยสัตว์เหล่านี้ก็จะช่วยกำจัดผักตบชวาให้ลดน้อยลงได้บ้างและเรายังได้ประโยชน์จาก
3.               สัตว์เลี้ยงเหล่านี้อีกด้วย และนอกจากนี้ยังมีการนำผักตบชวาไปแปรรูปใช้เป็นส่วนประกอบของสูตรอาหารสุกรและสัตว์ปีกอีกด้วย[1],[2],[6]แต่มีข้อควรระวังในการเลือกใช้คือให้เลือกผักตบชวาจากแหล่งน้ำที่ปลอดสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลงหรือโลหะหนักเท่านั้น เพราะสารเหล่านี้จะถูกผักตบชวาดูดซับเอาไว้ และเมื่อนำไปให้สัตว์กินก็จะทำให้สัตว์ได้รับสารพิษเหล่านี้ไปด้วย[2]
4.               มีการนำผักตบชวาแห้งทั้งต้นมาใช้ทำเป็นแอลกอฮอล์และ gas แต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจมากนัก[1]
5.               ผักตบชวาสามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยหมัก สำหรับการปลูกพืชผักต่างๆเนื่องจากผักตบชวามีโพแทสเซียมอยู่มากเป็นพิเศษส่วนฟอสฟอรัสและไนโตรเจนก็มีอยู่พอสมควรหรือนำมาใช้คลุมต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ให้เกิดความชุ่มชื้นเนื่องจากผักชนิดนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี[2],[6]
6.               ผักตบชวาที่ตากแดดจนแห้งดีแล้ว สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางเพื่อสร้างรายได้ได้เป็นอย่างดี[6]
7.               ใช้ทำเป็นกระถางชนิดพิเศษที่เป็นปุ๋ยในตัวเองโดยต้นกล้าที่จะนำมาเพาะชำในกระถางนี้ เราสามารถขุดหลุมปลูกได้เลยเพราะกระถางจะย่อยสลายไปได้เองและยังเป็นปุ๋ยให้กับพืชที่ปลูกอีกด้วย[2]
8.               นำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงแท่งโดยการนำมาผสมกับแกลบอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิงได้โดยไม่มีปัญหาในการอัด ค่าพลังงานความร้อนที่ได้ก็ใกล้เคียงกับแกลบอัด[2]
9.               ผักตบชวาสามารถขึ้นได้ในทุกสภาพน้ำและสามารถช่วยบำบัดน้ำเสียได้โดยตรงโดยทำหน้าที่เป็นตัวกรอง ทำให้ของแข็งหรือสารแขวนลอยต่างๆที่ปนอยู่ในน้ำถูกสกัดกั้นเอาไว้นอกจากนั้นระบบรากของผักผักตบชวาที่มีจำนวนมากยังช่วยกรองสารอินทรีย์ที่ละเอียดและจุลินทรีย์ที่อาศัยเกาะอยู่ที่รากจึงช่วยดูดสารเหล่านี้ไว้ด้วยอีกทางหนึ่งแต่ถ้าน้ำเสียนั้นมีสารพิษในปริมาณมากหรือน้ำเสียมากการใช้ผักตบชวาเพื่อบำบัดน้ำเสียจะให้ผลช้าและอาจทำให้น้ำเน่าได้จึงควรใช้ผักตบชวาร่วมกับการบำบัดน้ำเสียระบบอื่นไปด้วย จึงจะได้ผลดี[5]
10.         ผักตบชวาสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์จักสานหรือสินค้าอื่นๆผลิตภัณฑ์จากผักตบชวาก็เช่นกล่อง กล่องใส่กระดาษทิชชู ตะกร้าผักตบชวากระเป๋าผักตบชวา เก้าอี้ผักตบชวา เปลญวน รองเท้าแตะหรือรองเท้าผักตบชวาถาดรองผลไม้ ถาดรองแก้วน้ำ แจกันสาน เสื่อผักตบชวา กระดาษจากผักตบชวา ฯลฯ[2],[6]
11.         นอกจากนี้ผักตบชวายังมีประโยชน์ที่ช่วยทำให้น้ำสะอาดขึ้นช่วยสะสมพลังงานจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศบริสุทธิ์และเย็นสบายช่วยลดปัญหาที่เกิดจากวัชพืชใต้น้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำช่วยทำให้เกิดทัศนียภาพที่เจริญตา (สำหรับบางคน) ฯลฯ[6]

สรุปงานวิจัยเกี่ยวการบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา
แหล่งน้ำที่มีผักตบชวาขึ้นอยู่ เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถจะใช้ประโยชน์ของแหล่งน้ำนั้นๆได้เต็มตามเป้าหมายเราจึงจำเป็นต้องหาวิธีการแก้ไขไห้ถูกต้องแต่ก่อนที่จะหาวิธีการควรจะพิจารณาถึงข้อมูลต่างๆทีเกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1. แหลงนาแหงนนมีวัตถประสงคจะใช้เพออะไร
2. วิธีการทจะใช้มีความปลอดภยตอตวทานเองและสงแวดล้อมเพียงใด
3. วิธีการที่จะใช้นั้นสามารถจนแก้ปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาวได้มากน้อยเพียงใด
4. วิธีการนั้นประหยัดเพียงใด


4.ผลงานการวิจัย
           น้ำเสียเกิดจาก น้ำสะอาด + ของเสีย ของเสียได้แก่ สารอินทรีย์ต่าง ๆ โลหะหนัก ของแข็งแขวนลอย ไขมันและน้ำมัน ขยะต่างๆ กรด ด่าง และความร้อน ที่ทำปฏิกิริยากัน ส่งผลให้เกิดน้ำเน่าเสียได้ น้ำเสีย = น้ำสะอาด + ของเสีย

ผักตบชวา (Eichhorniacrassipes)


คุณสมบัติ

ผักตบชวา เป็นพันธ์ไม้น้ำจืด มีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถดูดกลืนโลหะหนักที่มีในน้ำเสียได้เป็นอย่างดีโดยใช้ขบวนการดูดซับ(Plant Uptake) การตกตะกอนของออกไซด์ ไฮดรอกไซด์ คาร์บอเนต ฟอสเฟต และชัลไฟด์ เกิดการแลกเปลี่ยนของไอออน ดูดกลืนตะกอนของดิน (Sedimented clay)

แปลงผักตบชวาที่ใช้เช่นขนาด2x5เมตร จำนวณแปลงมากน้อยขึ้นกับขนาดแหล่งน้ำ และเว้นระยะห่างให้เรีอสัญจรได้

พระราชดำริ พระราชกรณียกิจ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญได้แก่ หลักการ "น้ำดีไล่น้ำเสีย" หลักการบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา ทฤษฎีการบำบัดน้ำเสียด้วยการผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับระบบการเติมอากาศ ทฤษฎีการบำบัดน้ำเสียด้วยระบบบ่อบำบัดและวัชพืชบำบัด และ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ซึ่งมีสาระโดยสรุปดังนี้คือ


๑) ทฤษฎี "น้ำดีไล่น้ำเสีย" ได้ทรงนำหลักการบำบัดน้ำเสียโดยการทำให้เจือจางตามแนวทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ "น้ำดีไล่น้ำเสีย" โดยใช้หลักการตามธรรมชาติแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก เป็นการใช้น้ำคุณภาพดีมาช่วยบรรเทาน้ำเน่าเสีย ดังพระราชดำรัสเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ในอำเภอธัญบุรี เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๒
"แต่ ๓,๐๐๐ ไร่นั่นมันอยู่สูง จะนำน้ำโสโครกจากที่นี่ไปที่โน้นต้องสูบไปไม่ไหว แต่ว่าจะทำเป็นบึงใหญ่ที่จะเก็บน้ำได้สำหรับเวลาหน้าน้ำมีน้ำเก็บเอาไว้ หน้าแล้งก็ปล่อยลงมา ส่วนหนึ่งอาจปล่อยลงมาสำหรับล้างกรุงเทพ ได้เจือจางน้ำโสโครกในคลองต่างๆ…" (สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม, ๒๕๓๔: ๓๑-๒)
อีกทั้งได้พระราชทานแนวพระราชดำริโดยรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเข้าไปตามคลองต่างๆ เช่น คลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองแสนแสบ คลองเทเวศร์ และคลองบางลำพู เป็นต้น โดยกระแสน้ำจะไหลแผ่กระจายขยายไปตามคลองซอยที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นเมื่อทำการปล่อยน้ำให้ไหลเวียนจากปากคลองไปปลายคลองได้อย่างเหมาะสม ก็ย่อมจะช่วยเจือจางน้ำเน่าเสียได้มากโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง (สำนักงาน กปร., ๒๕๔๐: ๑๐๑)


๒) การบำบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในการปรับปรุงคุณภาพของแหล่งน้ำที่มีอยู่แล้ว เช่น บึงและหนองต่างๆ เพื่อทำเป็นแหล่งบำบัดน้ำเสีย โดยหนึ่งในจำนวนนั้นได้แก่ โครงการบึงมักกะสันอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีหลักการบำบัดน้ำเสีย ตามแนวทฤษฎีการพัฒนาโดยการกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวา


๓) การบำบัดน้ำเสียด้วยการผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับระบบเติมอากาศ ด้วยทรงห่วงใยในปัญหาน้ำเน่าเสียที่เกิดขึ้นในหนองหนองหาน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นแหล่งรับน้ำเสียจากครัวเรือนในเขตเทศบาลเมืองสกลนคร ที่มีสภาพเกินขีดความสามารถในการรองรับของเสีย พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ ทฤษฎีการบำบัดน้ำเสียด้วยการผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับระบบการเติมอากาศ ณ บริเวณหนองสนม-หนองหาน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวิธีธรรมชาติกับเทคโนโลยีแบบประหยัด โดยมีกรมประมงร่วมกับกรมชลประทานดำเนินการศึกษาและก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในบริเวณดังกล่าว โดยมีระบบบำบัดด้วยพืชน้ำซึ่งเป็นวิธีการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีธรรมชาติในพื้นที่ ๘๔.๕ ไร่ และได้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ (สำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, ๒๕๓๙: ๒๒๒)


๔) การบำบัดน้ำเสียด้วยระบบบ่อบำบัดและวัชพืชบำบัด โครงการวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงปัญหาภาวะมลพิษที่มีผลต่อการดำรงชีพของประชาชน อันเนื่องมาจากชุมชนเมืองต่างๆ ยังขาดระบบบำบัดน้ำเสียและการกำจัดขยะมูลฝอยที่ดีและมีประสิทธิภาพ จึงทรงให้มีการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวขึ้นในพื้นที่ ๑,๑๓๕ ไร่ โดยเป็นโครงการศึกษาวิจัยวิธีการบำบัดน้ำเสีย กำจัดขยะมูลฝอยและการรักษาสภาพป่าชายเลนด้วยวิธีธรรมชาติ


๕) กังหันน้ำชัยพัฒนา ในปัจจุบัน สภาพมลภาวะทางน้ำมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องกลเติมอากาศเพิ่มออกซิเจนเพื่อการบำบัดน้ำเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับอุปกรณ์การเติมอากาศ และทรงค้นคิดทฤษฎีบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการเติมอากาศ โดยใช้วิธีทำให้อากาศสามารถละลายลงไปในน้ำเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและการเพาะตัวอย่างรวดเร็วของแบคทีเรียจนมีจำนวนมากพอที่จะทำลายสิ่งสกปรกในน้ำให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว ตามแนวทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ซึ่งเป็นรูปแบบสิ่งประดิษฐ์ที่เรียบง่าย ประหยัด เพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียที่เกิดจากแหล่งชุมชนและแหล่งอุตสาหกรรม และได้มีการนำไปใช้งานทั่วประเทศ (สำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, ๒๕๓๙: ๒๑๘-๙)


๖) การกำจัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติ ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษา ทดลองวิจัยดูว่า จะใช้ปลาบางชนิดกำจัดน้ำเสียได้หรือไม่ ปลาเหล่านี้น่าจะเข้าไปกินสารอินทรีย์ในบริเวณแหล่งน้ำเสีย ซึ่งปรากฏว่าปลาบางสกุลมีอวัยวะพิเศษในการหายใจ เช่น ปลากระดี่ ปลาสลิด เหมาะแก่การเลี้ยงในน้ำเสีย และชอบกินสารอินทรีย์ จึงช่วยลดมลภาวะในแหล่งน้ำ วิธีการนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดน้ำเสียได้ ซึ่งจะมีต้นทุนต่ำ และสามารถเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำได้อีกทางหนึ่ง (สำนักงาน กปร., ๒๕๓๑: ๕๒)


ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization : FAO) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร (Agricola Medal) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ในฐานะที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอุทิศพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะผู้ซึ่งประกอบอาชีพเพาะปลูก บำรุงรักษาน้ำ และบำรุงรักษาป่า ซึ่งทรงยึดหลัก "สนับสนุนการพัฒนาแบบยั่งยืนเพื่อความมั่นคงในอนาคต" เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อให้ประจักษ์ชัดเจนจากความสำเร็จในด้านการพัฒนา โดยองค์การฯ สดุดีพระองค์ว่า ทรงพระปรีชาสามารถเกี่ยวกับความยุติธรรมของสังคม ซึ่งได้ปรากฏเห็นเป็นตัวอย่างจากนโยบายเรื่องการแบ่งที่ดินทำกินเพื่อเกษตรกรและผู้ทำนุบำรุงรักษาป่า ทรงวิริยะอุตสาหะในเรื่องการกักเก็บน้ำให้เพียงพอเพื่อประกันผลผลิตอาหาร การอนุรักษ์สันปันน้ำและป้องกันการกัดเซาะผิวดิน ทรงสนับสนุนเผยแพร่การเกษตรสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก และขยายพันธุ์สัตว์ให้เจริญเติบโตขึ้น ตลอดจนการบำรุงผิวดิน ทรงมีพระอุตสาหะอันสูงส่งในการสงวนรักษาพันธุ์พืช ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษยชาติในการค้นคว้าเรื่องอาหาร ทั้งนี้ เนื่องจากทรงมีสายพระเนตรอันกว้างไกลในการที่จะทำให้โลกปราศจากความหิวโหย และประชาชนมีอาหารเพียงพอต่อการดำรงชีวิต






บทที่3
วิธีการดำเนินการศึกษาค้นคว้า

ในการศึกษาเรื่อง    การกำจัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติ ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษา ทดลองวิจัยดูว่า จะใช้ปลาบางชนิดกำจัดน้ำเสียได้หรือไม่ ปลาเหล่านี้น่าจะเข้าไปกินสารอินทรีย์ในบริเวณแหล่งน้ำเสีย ซึ่งปรากฎว่าปลาบางสกุลมีอวัยวะพิเศษในการหายใจ เช่น ปลากระดี่ ปลาสลิด เหมาะแก่การเลี้ยงในน้ำเสีย และชอบกินสารอินทรีย์ จึงช่วยลดมลภาวะในแหล่งน้ำ วิธีการนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดน้ำเสียได้ ซึ่งจะมีต้นทุนต่ำ และสามารถเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำได้อีกทางหนึ่ง (สำนักงาน กปร., ๒๕๓๑: ๕๒)
    ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization : FAO) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร (Agricola Medal) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ในฐานะที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอุทิศพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะผู้ซึ่งประกอบอาชีพเพาะปลูก บำรุงรักษาน้ำ และบำรุงรักษาป่า ซึ่งทรงยึดหลัก "สนับสนุนการพัฒนาแบบยั่งยืนเพื่อความมั่นคงในอนาคต" เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อให้ประจักษ์ชัดเจนจากความสำเร็จในด้านการพัฒนา โดยองค์การฯ สดุดีพระองค์ว่า ทรงพระปรีชาสามารถเกี่ยวกับความยุติธรรมของสังคม ซึ่งได้ปรากฏเห็นเป็นตัวอย่างจากนโยบายเรื่องการแบ่งที่ดินทำกินเพื่อเกษตรกรและผู้ทำนุบำรุงรักษาป่า ทรงวิริยะอุตสาหะในเรื่องการกักเก็บน้ำให้เพียงพอเพื่อประกันผลผลิตอาหาร การอนุรักษ์สันปันน้ำและป้องกันการกัดเซาะผิวดิน ทรงสนับสนุนเผยแพร่การเกษตรสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก และขยายพันธุ์สัตว์ให้เจริญเติบโตขึ้น ตลอดจนการบำรุงผิวดิน ทรงมีพระอุตสาหะอันสูงส่งในการสงวนรักษาพันธุ์พืช ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษยชาติในการค้นคว้าเรื่องอาหาร ทั้งนี้ เนื่องจากทรงมีสายพระเนตรอันกว้างไกลในการที่จะทำให้โลกปราศจากความหิวโหย และประชาชนมีอาหารเพียงพอต่อการดำรงชีวิต

สรุปผลการสำรวจความคิดเห็น   


บทที่4
สรุปผลการศึกษาค้นคว้า

ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องการบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวาพืชน้ำบางชนิดที่มีอยู่มากมายในชุมชนและมีคุณสมบัติช่วยลดปริมาณของเสียในน้ำได้ จึงน่าจะช่วยบำบัดน้ำเสียในชุมชนได้
1.เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปของขมิ้น
           2.เพื่อศึกษาประโยชน์ของผักตบชวาและสรรพคุณของผักตบชวา
           3.เพื่อศึกษาสารสกัดจากผักตบชวา
           4.เพื่อศึกษาผลการวิจัยเกี่ยวกับผักตบชวา
           
           
สมมุติฐาน
           การบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวาพืชน้ำบางชนิดที่มีอยู่มากมายในชุมชนและมีคุณสมบัติช่วยลดปริมาณของเสียในน้ำได้ จึงน่าจะช่วยบำบัดน้ำเสียในชุมชนได้

สรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
      1.ข้อมูลทั่วไปของการบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวามีดังนี้
         1.1 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
                       1.2 การขยายพันธุ์
                       1.3 ส่วนที่ใช้


ประโยชน์
    การบริโภค ดอกอ่อนและก้านใบอ่อนกินเป็นผักลวกจิ้มน้ำพริกหรือทำแกงส้ม
    ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ เช่นหมู ใช้ทำปุ๋ยหมัก ก้านและใบอ่อนนำมารับประทานได้ เครื่องจักสานผักตบชวา






แบบสำรวจความคิดเห็นเรื่อง  การบําบัดน้ำเสียด้วยผักตบชวา

ลำดับ

หัวข้อคำถาม

ระดับความคิดเห็น
เห็นด้วย
ไม่เห็นด้วย
1
ผักตบชวาบําบัดน้ำเสียได้
31
9
2
ผักตบชวาเป็นพืชที่ปลูกง่าย
25
15
3
ผักตบชวาเป็นพืชที่โตแล้ว
27
13
4
ดอกอ่อนและก้านใบอ่อนกินเป็นผักลวกจิ้มน้ำพริกหรือทำแกงส้ม
24
16
5
ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย
32
18
6
การรับประทานดอกอ่อนผักตบชวาเป็นประจำจะช่วยลดแผลในกระเพาะและช่วยย่อยอาหารได้
30
10
7
ดอกอ่อนผักตบชวาช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อด้วยการขับลมได้
27
13
8
บัดน้ำเสียได้
27
13
9
เคอร์คูมินอยด์ลดการสร้างอนุมูลอิสระของไขมันและลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้
28
12
10
ข้อมูลจากโครงงานเรื่องนี้ทำให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผักตบชวามากขึ้น
30
10
















บทที่ 5
อภิปรายผลและเสนอแนะ
สรุปผลการวิจัย

โครงงานนี้มีวัตถุประสง เพื่อเป็นการจัดทำระบบการบำบัดน้ำเสีย 3ขั้นตอนในขั้นตอนแรกเป็นการบำบัดไขนันในถ้งกรองน้ำเสียที่มี อนุภาดนาโนคาร์บอนแบลค ป็นส่วนประกอบขั้นตอนที่2 การกำจัดฟอสฟอรัสด้วยผงด้วยผงเปลือกไข่ไก่ ไนระยะเวลาการแช่ที่แกต่างกัน และขั้นตอนสุดท้ายเป็นการกำจัดสารไนตรทในน้ำด้วยผักตบชวาและสาหร่ายฉัตร ผลการศึกษาในขั้นตอนที่1ปรากฏว่า น้ำที่ผ่านถ้งกรอนซึ่งมีอนุภาดนาโนคาณ์บอนแบล๕เป็นส่วนประกอบ นั้นจะมีปริมาณไขมันที่หลงเหลืออยู่น้อยกว่าน้ำที่ผ่านถังกรองที่ไม่มีอนุภาคนาโนคาร์บอกแบลดเป็นส่วนประกอบ ผล การศึกษาไนขั้นตอนที่2 เป็นการทดลองกำจัดฟอสฟอรัสด้ายผงเปลองไข่ไก่ โดยการแช่ในน้ำในระยะเวลาที่แตกต่างกัน เมื่อระยะเวลาไนการแช่เพิ่มมากขึ้นปริมาณฟอสฟอรัสที่หลงเหลืออยู่จะน้อยลงแต่เอระยะเวลาในการแช่ตั่งแต่96 ชั่วโมงเป็นต้นไปนัน ปริมาณฟอสฟอรัสที่หลงเหลืออยู่นั้นจะค่อนข้างคงที่ และ ผลการศึกษาในขั้นตอนที3 เป็นการทดลองเปรียบเทียบการกำจันสารไนเตรทด้วยผักตบชวาและสาหร่ายฉัตร จะพบว่า น้ำที่ผ่านการแช่ด้วยสาหร่ายฉัตรเ)นเวลา
จะสามารถกำจัดสารไนเตรทได้ดีกว่าน้ำที่ผ่านการแช่ด้วยผักตบชวา



อภิปรายผล
จากผลการศึกษาทดลองในขั้นตอนทีj1 เมืjอน้ำเสียผ่านถังกรองทีjมีอนุภาคนาโนคาร์บอนเป็น
ส่วนประกอบ อนุภาคนาโนคาร์บอนนี้เป็นวัสดุที่มีขนาดเล็ก จะมีคุณสมบัติ ในการช่วยการดูดซับ
ไขมันในน้ำ ทำให้น้ำที่ผ่านถังกรองมีปริมาณไขมันที่หลงเหลืออยู่น้อยกว่า น้ำที่ผ่านถังกรองที่ไม่มี
อนุภาคนาโนคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ ในผลการศึกษาขั้นตอนที่ 2 การทดลองกำจัดฟอสฟอรัส
ด้วยผงเปลือกไข่ไก่ เนื่องจากเปลือกไขไก่จะมีสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบ
98.2% ของน้ำหนักเปลือกไข่ ซึ่งสารประกอบนี้ จะมีคุณสมบัติในการดูดซับฟอสฟอรัสในน้ำได้ดี ซึ่ง
การดูดซับนัhนจะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อระยะเวลาในการแช่มากขึ้น และเมื่อสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต
ดูดซับได้เต็มที่แล้ว จะไม่มีการดูดซับเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้น้อย ซึ้งเห็นได้จากผลการทดลองเมื่อ
ระยะเวลาในการแช่มากขึ้น ปริมาณฟอสเฟตทีjหลงเหลืออยู่ที่ตรวจได้จะมีค่าค่อนข้างคงที่ ในผล
การศึกษาขั้นตอนที่ 3 การทดลองเปรียบเทียบการกำจัดสารไนเตรทด้วยผักตบชวา และสาหร่ายฉัตร
จะพบว่า น้ำที่ผ่านการแช่ด้วยสาหร่ายฉัตรเป็นเวลา จะสามารถกำจัดสารไนเตรทได้ดีกว่าน้ำที่ผ่านการ
แช่ด้วยผักตบชวา นั้นแสดงว่า สาหร่ายฉัตรจะมีความสามารถในการดูดซับสารไนเตรทได้ดีกว่า
ผักตบชวา


บรรณาณุกรม

http://www.ex-mba.buu.ac.th/research/Nonthaburi/PM6/51723687/05_ch5.pdf







ภาคผนวก